วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551

การทำอาหาร

ด้วยความเขลาของผมเองที่ทำให้ผม มีคำถามค้างคาใจอยู่ยาวนานพอสมควร
ยิ่งคิดยิ่งรู้ว่าโง่ ใครจะว่าก็เอาเหอะเพราะไม่มีคนอ่านอยุ๋แล้ว ^ ^
ผมหลงอยู่นานพอสมควร วันนึงก็มีคนบอกผมว่า kitsch ซึ่งผมไม่รุ้จิงๆนะว่ามันคืออะไร
ผมพยายามหาคนที่เข้าใจมาอธิบายผมก็ไม่เข้าใจ ผมอ่านก็ไม่เข้าใจ
มีคนแสดงความรู้ต่อหน้าผมก็ไม่เข้าใจ ความโง่ของผมถ้าเป็นบัว4เหล่า
น่าจะอยู่แถวๆขอบๆแกนโลก ผมเพิ่งมาอ๋อเมื่อเช้านี้เองบังเอิญดูรายการสำหรับเด็กแล้วแว๊บเข้ามาพอดี

ผมเองคงมัวแต่มองหาตัวอย่างนานามาอธิบาย (kitsch) โดยการปฎิเสธความจริงซึ่งมันอยู่ใกล้ตัวเกินไปนิดอะ
ภาษาบ้านๆคงใช้คำว่ามองตัวไม่เห็นตน ผมลืมไปว่าจริงๆแล้วผมเองก็คือมันนี่เอง ไม่เห้นต้องเสียเวลาให้มากมาย
แล้วคำอธิบายเรื่องนี้(kitsch) จริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่
หรือว่าผมมองแคบไปว่าkitsch ควรจะอธิบายได้ด้วยศาสตร์ที่ผมสนใจเท่านั้นก็ไม่รุ้ มันเลยไม่เข้าใจซะที
วันนี้ผมเริ่มมองเห็นทางที่จะเข้าใจมันแล้ว เลยรุ้สึกว่ามันง่ายจิงๆ (ดีใจ) ต่อไปผมคงเข้าใจมันมากขึ้น
จะได้เป็นคนมีความรู้ซะที

ในทันทีที่ผมเห็นทางที่จะเข้าใจมัน ผมกลับหาคู่ตรงข้ามของมันพอดี บังเอิญหนังสือเล่มที่ชอบมันมีคำนึงถูกใจ
เลยคิดว่าหนทางดับkitsch คือความอ้างว้าง (emptiness must itself be emptied.)
ผมฉุกคิดได้ตอนเล่น hi5 กับศาสนาตัวเองก็เลยนึกถึงสัญลักษณ์หยินหยางว่าแม้ในพื้นที่ขาวยังมีจุดดำ
คงจะจริงที่ว่าไม่มีอภิมนุษย์คนไหนสามารถหลุดพ้นความkitschได้มั้งในยุคนี้ เพราะไม่งั้นมันจะ
กลายเป็นเพียงความหมกมุ่นเพื่อหลุดพ้นจากkitsch เสียเปล่าๆ

เสียดายพอเอ่ยคำว่า kitsch มันฟังดูเลวๆยังไงชอบกล ผมว่าไม่นะ

1 ความคิดเห็น:

dusadee กล่าวว่า...

เห็นด้วยกับคำที่บอกว่าความว่างเปล่าคือสิ่งที่จะหลุดพ้นจากkitschได้
เพราะเราแม่งก้คือkitschเดินดินกันทุกคน
แต่ถ้ามองดีkitschอาจจะมีเสน่ห์ อย่างคาดไม่ถึงนะกูว่า^^